แนวคิดอันเป็นพื้นฐานของปรัชญาอินเดีย
แนวคิดอันเป็นพื้นฐานของปรัชญาอินเดียนั้น อาจจะมาจากหลายแหล่ง
นักปราชญ์ทั้งหลายพยายามที่จะค้นหาจุดอันเป็นต้นกำเนิดหรือที่มาของปรัชญาอินเดียว่ามาจากที่ใด
แต่ยังค้นหาหลักฐานพอเป็นสิ่งอ้างอิงได้ไม่มากนัก
จากการศึกษาของผู้ที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นมาของปรัชญาอินเดีย
ได้ให้ทัศนะไว้หลายประการ ซึ่งพอจะนำมากล่าวไว้ในที่นี้คือ พื้นฐานของแนวความคิดที่กลายมาเป็นปรัชญาอินเดียที่เป็นระบบ
กล่าวโดยเหตุผลกว้างๆได้ 2 แนวทาง คือ
1.แนวความคิดที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท
2.แนวความคิดที่อยู่นอกแนวทางของคัมภีร์พระเวท
กล่าวกันว่านับตั้งแต่เริ่มแรกของปรัชญาอินเดีย
คัมภีร์พระเวทถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น หรือจุดกำเนิดแห่งความรู้ทั้งปวง
เพราะนับระยะเวลาก่อนยุคคัมภีร์พระเวทแล้วความรู้ต่างๆยังคลุมเครือไม่ปรากฏชัดเจน
ซึ่งเป็นเพราะยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเรียกว่ายุคก่อนคัมภีร์พระเวทหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็คงไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก
ต่อมาเมื่อมีคัมภีร์พระเวทปรากฏขึ้นจึงปรากฏเป็นยุคพระเวทหรือยุคประวัติศาสตร์
เพราะคัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมเอาศาสตร์ต่างๆโดยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรู้ เช่น เป็นคัมภีร์แห่งประวัติศาสตร์ของอินเดีย
เป็นคัมภีร์แห่ศาสนา ปรัชญา วรรณคดี สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ กฎหมาย ฯลฯ
ในด้านปรัชญา
แนวความคิดในคัมภีร์พระเวทเป็นแนวความคิดขั้นพื้นฐาน
ซึ่งปูทางให้เกิดแนวความคิดทางปรัชญาและศาสนาให้กับอินเดียในกาลต่อมา เช่น
ลัทธิภักดี การบำเพ็ญเพียรในรูปแบบต่างๆของบรรดาฤาษี
ผู้ต้องการแสวงหาทั้งสัจธรรมและวิธีการหลุดพ้นทั้งปวง
อิทธิพลของแนวความคิดที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท
เป็นเหตุให้มีนักคิดได้นำไปเป็นพื้นฐานของการวิพากษ์วิจารณ์
เมื่อวิพากษ์วิจารณ์แล้วอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
การเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยด้วยนี่เองได้กลายมาเป็นผลพวงแตกสาขาออกไปเป็นสำนักปรัชญาหลายสำนึก
เช่น การค้นหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่เป็นความแท้จริงที่เรียกว่า “องค์สัมบูรณ์” ตลอดถึงการสอบสวนหาความจริงเกี่ยวกับตัวของมนุษย์เองหรือการวิเคราะห์ถึงการกระทำของมนุษย์ว่าดีหรือชั่ว
ถูกหรือผิด เป็นต้น
คัมภีร์พระเวทจึงได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของปรัชญาและศาสนาทั้งหมดของอินเดีย
ซึ่งได้วิวัฒนาการต่อมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน
ความหมายและขอบเขตของปรัชญาอินเดีย
คำว่า “ปรัชญาอินเดีย” นี้ มีคนทั่วไปจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะชาวตะวันตกเข้าใจว่าเป็นปรัชญาฮินดูเท่านั้น
สาเหตุที่เข้าใจเช่นนั้นก็เพราะว่าชาวอินเดียในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดูหากความเข้าใจในคำว่า “ฮินดู” ว่าหมายถึง
ศาสนิกชนที่มีความเชื่อเฉพาะศาสนาฮินดูเท่านั้น
ความเข้าใจดังกล่าวก็ย่อมจะผิดไปจากความหมายที่แท้จริงได้
ความจริง คำว่า “ปรัชญาอินเดีย” มีความหมายกว้าง
คือหมายถึงทัศนะทางปรัชญาของนักคิดของอินเดียทั้งหมด
ทั้งที่เป็นนักคิดในสมัยโบราณหรือสมัยใหม่ ทั้งที่นับถือศาสนาฮินดู
และนับถือศาสนาอื่นๆ อย่างไรก็ดี แม้นักคิดหรือนักปรัชญาฮินดูในสมัยโบราณ
ซึ่งเป็นพวกที่นิยมนับถือแบบเก่าๆ
การคิดการเขียนของท่านเหล่านั้นก็เป็นแบบสรรพทัศนะ
คือพยายามที่จะผนวกเอาทัศนะทั้งหลายทางด้านปรัชญาของทุกลัทธิมาไว้ในที่เดียวกัน
เราจึงได้พบทัศนะต่างๆ หลากหลายของลัทธิสำนักนั้นๆ เช่น ลัทธิที่นับถือพระเจ้า
ลัทธิวัตถุนินม และกลุ่มนักคิดหัวก้าวหน้าอื่นๆ เป็นต้นว่า ปรัชญาพุทธ
ปรัชญาเชนหรือไชนะเป็นต้น
ปรัชญาอินเดียสมัยโบราณ เป็นวิชาหลัก
เป็นวิชาที่สำคัญ ไม่เป็นส่วนประกอบของวิชาใดๆ
ไม่ว่าด้านวิทยาศาสตร์หรือศิลปะศาสตร์ ต่างกับปรัชญาในแถบตะวันตก
ซึ่งแม้จะอยู่ในระยะรุ่งเรืองของสมัยแรก เช่น ในระยะของเพลโต้และอริสโตเติ้ล
วิชาปรัชญาเป็นวิชาที่ไปสนับสนุนวิชาอื่นๆ เช่น วิชาการปกครอง วิชาจริยศาสตร์
ในสมัยกลางของปรัชญาตะวันตก นักปรัชญาใช้ปรัชญามาสนับสนุนวิชาเทววิทยา
ในสมัยศตวรรษที่ 19 นักปรัชญาตะวันตกก็นำเอาวิชาปรัชญามาประยุกต์ใช้กับวิชาสาขาอื่นๆ
เช่น วิชาประวัติศาสตร์ การเมืองและสังคมวิทยา
ตรงกันข้ามกับในอินเดียวิชาปรัชญาเป็นศาสตร์ที่ศาสตร์อื่นแสวงหาเพื่อเป็นแนวทางในการค้นคว้า
หากวิชาใดปราศจากซึ่งปรัชญา
วิชานั้นจะดูเหมือนกับการขาดเสียซึ่งลักษณะของบ่อเกิดแห่งปรัชญา
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=8I9hgAueDiE
ที่มา : ทองหล่อ วงษ์ธรรมา.ปรัชาอินเดีย.กรุงเทพฯ:โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ , 2535
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น